วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทความที่ 1

สวัสดีค่ะ :)  บทความนี้เป็นบทความแรกที่ปิ๊งเขียนนะคะ ซึ่งบทความเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวปิ๊ง  อยากเขียนมาเล่าแชร์ประสบการณ์เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง    เริ่มเลยแล้วกันเนอะ

สำหรับผู้ที่กำลังจะไปประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลามากกว่า 6 เดือน ไม่ว่าจะไปอยู่เพื่อการศึกษา ทำงาน หรือ พำนักอยู่ จะต้องมีการตรวจปอดเพื่อหาเชื้อวัคโรคก่อนค่ะ ที่สำนักงาน IOM ตั้งอยู่ที่ อาคารเกษมกิจ ชั้น 8 ถ.สีสม กทม. เปิดทำการจันทร์ - ศุกร์ 08.00-17.00 

เส้นทางการเดินทาง
รถไฟฟ้า ลงสถานี ศาลาแดง ทางออกที่ 1 (เดินขึ้นไปเรื่อยๆก่อนถึงโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน)

สิ่งที่ควรทำก่อนไปตรวจปอดกับ IOM
1. ลงทะเบียนออนไลน์ จองวันและเวลาก่อน www.register-uktb.iom.int/uktbdp-register/
2. เตรียมที่อยู่ที่พักที่อังกฤษไปด้วย 
3. เงินสด 3,300 บาท
4. passport ตัวจริง

(เจ้าหน้าที่จะให้เราไป x-ray ที่โรงพยาบาลที่ทาง IOM ระบุ มีอยู่สองโรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน กับโรงพยาบาลพญาไท 2 แนะนำว่าให้ไปโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน เพราะใกล้เดินไปได้แค่ 200 เมตร *ส่วนใครบอกว่าไปตรวจโรงพยาบาลนี้สิรอด ผ่าน ไม่จริงนะคะไม่เกี่ยวกันเลยค่ะ เอาตามสะดวกดีที่สุด* x-ray เสร็จนำผลมาให้เจ้าหน้าที่ ที่ IOM อ่านผล ถ้าไม่มีอะไร ก็รับใบผ่านในวันนั้นเลยค่ะ)

กรณีของปิ๊ง ไปตรวจเมื่อ 10 ตุลาคม 2559 ผลออกมาปอดเป็นจุด ทางเจ้าหน้าที่ทำการนัดขับเสมหะตอนเช้า เป็นเวลา 3 วัน (สถานที่ขับเสมหะ ที่อาคารเกษมกิจ)
ซึ่งหลังจากขับเสมหะแล้วต้องรอผล ประมาณ 10 อาทิตย์ ถึงจะเป็นการยืนยันว่าปอดไม่มีเชื้อวัณโรค 
ส่วนคนมีเชื้อปกติรอไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็หาเชื้อเจอแล้วค่ะ ปิ๊งรอประมาณ 10 วัน เจ้าหน้าที่โทรมาบอกว่ามีเชื้อวัณโร  จากนั้นเจ้าหน้าที่บอกเราให้รอ 1 อาทิตย์ จะส่งผลเชื้อมาให้เราทางอีเมล์ ว่าเชื่อเรานั้นแพ้ยาตัวไหนบ้าง เราจะได้แจ้งกับทางแพทย์ได้ถูก (ทาง IOM จะไม่ทำการรักษาให้เรา จะทำแต่การตรวจเพาะเชื้อให้เราเท่านั้นค่ะ)

ได้ยินทีแรกยอมรับว่าเครียดมาก สติแตก ประมาณว่าเราเป็นวัณโรค ถึงขั้นบ้าบอไปเสียเงินไปทำ CT สแกน ตรวจเลือด เพื่อความแน่ใจ บ้าบอเป็นอาทิตย์
สรุปเลยนะคะเผื่อใครไปตรวจว่าพบเชื้อวัณโรค ไม่ต้องตกใจนะค่ะ เป็นเรื่องปกติค่ะ คนรับเชื้อมีเยอะมาก เป็นเรื่องปกติค่ะ แต่โดยส่วนมากจะไม่ค่อยทราบกัน แล้วมารู้ตัวว่ามีเชื้อตอนอายุมากๆแล้ว พอรักษาก็ค่อนข้างลำบากค่ะ ถือว่าเราโชคดีนะคะที่รู้ไว 
ไม่ต้องเครียดว่ามันจะร้ายแรงนะคะ มันรักษาหายค่ะ ไปรักษาที่ไหนโรงพยาบาลไหนก็ได้ เพราะการรักษาเป็นแบบเดียวกันหมด เป็นการรักษาที่ได้มาตราฐานเหมือนกันหมด การรักษาหากไม่เกิดการแพ้ใดๆ การรักษาจะอยู่ที่ 6 เดือน กินยาทุกวัน และขั้นตอนแรกของการรักษาจะต้องทำการตรวจเลือดเพื่อหา HIV ก่อน แล้วถึงเริ่มขั้นตอนการรักษาได้

ปิ๊งกรณีพิเศษ ของปิ๊งกินยารักษาไปได้เกือบสองเดือน มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น ร่างกายแพ้ยา แสบร้อนทั้งตัวทรมาณ เหมือนโดนเข็มมาแทง อ่อนเพลียหนักมาก กินไรไม่ได้เลย แล้วไม่ยอมบอกหมอ สรุป ตับอักเสบขนาดหนัก หมอจึงสั่งหยุดยา 1 เดือน แล้วมาเริ่มขั้นตอนการกินยาใหม่ นับหนึ่งอีกรอบ พบหมอทุกอาทิตย์ เจาะเลือดตรวจตับทุก 2 อาทิตย์ เป็นเวลา 2 เดือน บอกตรงๆเหนื่อยและสงสารตัวเองมากๆ

อยากจะขอบอกเพื่อนๆที่ กินยาแล้วรู้สึกแย่นะคะ คือถ้าเราอาการไม่ดี อาเจียน ไม่มีแรง ปวดตับ ปวดหัวมากๆ ปวดแสบปวดร้อน เป็นอาการใดอาการหนึ่ง ให้พบหมอแจ้งหมอเลยนะคะ สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากเรารับตัวยาที่มีปริมาณมากเกินไป ร่างกายเรารับไม่ไหว แพทย์จะต้องจ่ายยาให้พอดีกับน้ำหนักเรา ที่ปิ๊งต้องมาเริ่มกินยาใหม่ เจาะเลือดทุก 2 อาทิตย์ เกิดจากความผิดพลาดจ่ายยาปริมาณเกินกว่าน้ำหนักตัว

และแนะนำนะคะว่า ต้องพยายามกินวิตามินบี เพราะยาทำให้ร่างกายเราขาดวิตามินบี แล้วก็พยายามทาครีมที่ผิวเยอะๆนะคะ ผิวจะแพ้ง่าย เกิดอาการคันตกสะเก็ดเป็นแผล เพราะน้ำในร่างกายหายไปเยอะ ดื่มน้ำเยอะๆ ออกกำลังกายพอขยับให้ร่างกายตื่นตัวหน่อยนะคะ อย่าออกหนักเพราะ ยามีผลต่อความดัน ทำให้ความดันเราลดลง มันจะมีอาการมึนๆหน้ามืดบางที ส่วนสุราทั้งหลายนี่งดเลย บอกตรงๆ ปิ๊งเป็นคนดื่มเข้าขั้นระดับเซียนพอตัว พอมากินยารักษานะ กินแค่ไวน์ไปสองอึกเท่านั้นอ่ะ พุ่งเลยจ้าป่วยเลย สุรานี่ต้องงดไปเลยนะคะ จนกว่าจะจบขั้นตอนการรักษา ปลาทูน่า ชีส ของพวกนี้งดเลยนะคะ มีผลกับยาทำเราแพ้ได้คะ... ก็ยังไงถ้าใครประสบปัญหาเดียวกันก็ขอเอาใจช่วยสู้นะคะ ส่วนปิ๊งเหลือกินยาอีกสองเดือนก็จบแล้ว :) เดี๋ยวมาอัพเดตเพิ่มนะคะ ว่าจบขั้นตอนการรักษาแล้ว จากนั้นไปติดต่อกับ IOM ยังไง จนจบขั้นตอน

ขอบคุณค่ะ
ปิ๊งกี้ 






บทความที่ 1

สวัสดีค่ะ :)  บทความนี้เป็นบทความแรกที่ปิ๊งเขียนนะคะ ซึ่งบทความเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวปิ๊ง  อยากเขียนมาเล่าแชร์ประสบการณ...